คติความเชื่อเกี่ยวกับผีหรือไสยศาสตร์ในปรัชญากฎหมายไทยสมัยอยุธยา
ความจริงความเชื่อเรื่องผีหรือไสยศาสตร์ดำรง อยู่ในสังคมไทยมาช้านานแล้ว คติดังกล่าวคงนับได้เป็นศาสนาปฐมภูมิเริ่มแรกของคนไทย แม้สังคมไทยจะมีพุทธศาสนาเป็นหลักยึดมานับ 1,000 ปี ซึ่งแต่ก่อนหน้าจะยึดศาสนาผีหรือไสยศาสตร์สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจนอกหรือธรรมชาติอื่น ๆ อันจัดเป็นศาสนาปฐมภูมิ ก่อนที่ชาวอินเดียจะเข้ามาเผยแพร่อารยธรรมพุทธและพราหมณ์ในดินแดนแหลมทอง
เมื่อพิจารณาในแง่อิทธิพลทางสังคม ผี ไสยศาสตร์ หรือความเชื่อ ความรู้เกี่ยวกับสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่มิอาจพิสูจน์ได้ด้วยวิชาการทางวิทยาศาสตร์ ย่อมจัดเป็นรูปการหนึ่งของอำนาจดั้งเดิมในสังคมไทยที่เข้ามามีอิทธิพลหรือบงการจิตสำนึก ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วไปเมื่อเข้าสู่ยุคของอาณาจักรอยุธยา ความเชื่อเรื่องผีและไสยศาสตร์ก็ได้ถูกสำทับให้เห็นความสำคัญเด่นชัดด้วยอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์ที่ชนชั้นปกครองนำมาใช้เพื่อสร้างความยำเกรงในอำนาจมีบทบาทเสริมสร้างให้เกิดบรรยากาศทางสังคม อาทิ
พิธีกระทำสัตย์สาบานต่อกษัตริย์ หรือประกาศโองการแซงน้ำ ก็มีอันเชิญเทวดาหรือผีสาง นานาประเภทเข้าร่วมในการแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ในส่วนขององค์พระมหากษัตริย์ ก็ดำเนินชีวิตหรือบริหารราชการแผ่นดินในลักษณะผูกพันใกล้ชิดกับเรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ฤกษ์ยามหรือคำพยากรณ์ของโหรหลวง ทำให้ความเชื่อไสยศาสตร์ดังกล่าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา เมื่อศาสนาผี ไสยศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาจนการเป็น พระศาสดา ในสำนึกของคนในอยุธยาแล้ว ในแง่ของปรัชญากฎหมายไทย พระศาสดา ดังกล่าวย่อมมีสภาพเป็นรากฐานความคิดแบบธรรมนิยมในปรัชญากฎหมายไทยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผีหรือไสยศาสตร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบศีลธรรมของสังคมไทยโบราณที่อ้างโยงเข้าหาสิ่งที่เชื่อว่าเป็นธรรมชาติของกฎหมายที่ดำรงอยู่และที่ควรจะเป็น ผีหรือไสยศาสตร์ได้ถูกตีความเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของธรรมะหรือธรรมะรูปแบบหนึ่ง ธรรมะในแง่ของสิ่งที่จะ “ทรง” ชีวิตให้ตั้งมั่นอยู่ได้ ความถูกต้องเป็นธรรมในกฎหมายบางกรณีกฎหมายก็บัญญัติห้ามมิให้มีการทำไสยศาสตร์ หรือต่อต้านผีจำพวกที่ให้เป็นต่อมนุษย์ ซึ่งหากมองในมุมกลับกันก็เท่ากับกฎหมายหรือรัฐยอมรับหรือเชื่อในความมีอยู่จริงแห่งอำนาจของไสยศาสตร์และภูติผี
ตัวอย่างกฎหมายเช่น พระไอยการลักษณะเบ็ดเสร็จ กฎหมายเก่าแก่ที่ตราขึ้นในสมัยพระเจ้าอู่ทอง มีหลายมาตราเกี่ยวด้วย ฉมบ จกละ กระสือกระหางหรือผู้ใช้เวทย์มนต์คาถาและการกระทำให้ผู้อื่นตายด้วยไสยศาสตร์ของตนจนกลายเป็นความกัน “ต้องตามบาลีในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์”ตาม “อาถพพนีกา” หลักการของกฎหมายนี้มุ่งลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อผู้กระทำการดังกล่าว หากทั้งนี้ต้องมีการพิจารณาความให้ถ่องแท้เสียก่อน เป็นต้น โดยมีศาลที่จะพิจารณาคดีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์โดยตรง เรียกว่า “ศาลแพทยา” ซึ่งจะรับฟ้องคดีเกี่ยวกับเรื่องผีเสน่ห์ยาแฝด ศาลนี้เพิ่งจะเลิกไปในรัชกาลที่ 5 นอกจากนั้นอิทธิพลของผีในกฎหมายดังกล่าวดูได้จาก กฎหมายพิสูจน์ดำน้ำลุยเพลิง หรือความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ในกฎมณเฑียรบาลเรื่องการสะเดาะกุญแจโดยใช้เวทมนต์คาถา เป็นต้น
โดยสรุป ในเมื่อผีและไสยศาสตร์หรืออีกนัยหนึ่งศาสนาผีและศาสนาไสยศาสตร์ได้สัมผัสแนบแน่นกับพุทธศาสนาจนคนสมัยอยุธยาจัดเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาหรือ “พระศาสนา” ในบริบทของสังคมขณะนั้นแล้ว ศาสนา ผีและไสยศาสตร์ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถือว่า “ธรรมะ” ในวงกรอบใหญ่ของปรัชญากฎหมายไทยที่มีลักษณะ “ธรรมนิยม” โดยรากฐาน
ดังนั้น ธรรมนิยมในปรัชญากฎหมายไทย แม้จะยืนยันความสัมพันธ์แนบแน่นของกฎหมาย และธรรมะในตัวธรรมชาติของกฎหมายเชิงอุดมคติ “ธรรม” ซึ่งแฝงอยู่เป็นรากฐานแห่งกฎหมายก็มีหลายระดับ หลายชั้น ผสมผสานกันทั้งที่เป็นธรรมะระดับหยาบและธรรมะระดับที่ละเอียดปราณีต แม้ปรัชญานิยมทางกฎหมายของไทยจะมีสายที่มาเชื่อมต่อได้กับอารยธรรมทางกฎหมายของอินเดีย (คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ หรือคัมภีร์พระธรรมศาสตร์) โดยทั่วไปของเราเป็นไปในลักษณะเลือกรับและปรับ ประยุกต์เข้ากลับวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิม (Localization) มากกว่าจะเป็นการยอมรับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียโดยสมบูรณ์ (Indianization) กระบวนการเลือกรับดังกล่าวจึงนำไปการผสมผสานที่หลากหลายกระแสกลายเป็นธรรมหลายระดับแทรกซ้อนรวมกันอยู่ในกระแสความคิดของปรัชญากฎหมายไทย